คุณอยู่ที่

ย้อนดูวิวัฒนาการ iPhone 1 – iPhone 15 ตั้งแต่ไอโฟนรุ่นแรกจนมาถึงวันนี้ ไอโฟนทุกรุ่นเป็นยังไงกันบ้าง By specphone.com

ปรับขนาดตัวอักษร

-A A +A
รูปภาพของ yod007
เขียนโดย yod007 เมื่อ ศุกร์, 07/05/2024 - 10:10

ย้อนดูวิวัฒนาการ iPhone 1 – iPhone 15 ตั้งแต่ไอโฟนรุ่นแรกจนมาถึงวันนี้ ไอโฟนทุกรุ่นเป็นยังไงกันบ้าง

By Iamnotspock

February 23, 2024

ถ้าพูดถึงมือถือที่ได้การยอมรับจากทั่วโลก ในความสามารถในการใช้งาน ทั้งการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต และมัลติมีเดียต่างๆ และขึ้นชื่อว่าเป็นสมาร์ทโฟน ที่สามารถใช้งานและการดีไซน์อย่างลงตัว เชื่อว่าหลายคนก็ต้องนึกถึงมือถือจาก Apple อย่าง iPhone กันบ้างแหละ ไม่ว่าจะเป็นสาย Android หรือ iOS อยู่แล้วก็ตาม ตั้งแต่ที่ iPhone 1 (iPhone 2007) ที่เปิดตัวออกมารุ่นแรก จนมาถึง iPhone 15 ในปัจจุบันนี้ และกำลังจะมีรุ่นใหม่ที่เป็น iPhone 16 เราจะย้อนรอยกลับไปดูกันว่า ตั้งแต่ไอโฟน 1 ที่เปิดตัวจนถึงตอนนี้ มีอะไรที่เปลี่ยนแปลงไปแล้ว และไอโฟนทุกรุ่นนั้นมีจุดเด่นตรงไหนน่าสนใจบ้าง

ย้อนความกันสักนิดก่อน สำหรับแบรนด์ที่ชื่อ Apple CoMegapixel uter CoMegapixel any นั้นได้ถูกก่อตั้งขึ้นมาโดย สตีฟ จอบส์ (Steve Jobs) ตั้งแต่ปี 1976 (เกือบ 46 ปี) หลังจากนั้นก็ได้เปลี่ยนชื่อมาเป็น Apple Inc. เนื่องจากจะได้เป็นการบ่งบอก ถึงความเป็นตัวตนของบริษัท ที่จะเริ่มก้าวเข้าสู่ตลาดอิเล็กทรอนิกส์เคลื่อนที่อย่างเต็มตัว แน่นอนว่ารวมไปถึงสิ่งที่เรากำลังจะมาพูดถึงในวันนี้ด้วย นั่นก็คือมือถือสมาร์ทโฟนเคลื่อนที่อย่างไอโฟน 1 หรือที่หลายคนอาจจะรู้จักกันในชื่อ iPhone 1st Gen หรือ iPhone 2G และได้เริ่มพัฒนาต่อมาเรื่อยๆ จนถึงรุ่นที่ 15 ที่เพิ่งเปิดตัวออกมาเมื่อปี 2023 ที่ผ่านมา รวมๆ แล้วก็ 16 ปีไปแล้ว ที่ได้เริ่มทำมือถือออกมาให้เราได้ใช้งานกันทั้งหมด 42 รุ่น (รวมรุ่นย่อยทั้งหมดแล้ว) เดี๋ยววันนี้ทาง Specphone จะมาบอกกันว่ารุ่นไอโฟนทั้งหมดมีกี่รุ่น แต่ละรุ่นมีรายละเอียดอะไรบ้าง ตั้งแต่ iPhone 1 จนถึง iPhone 15 เลย

ลำดับไอโฟนแต่ละรุ่น ตั้งแต่ iPhone 1 จนถึง iPhone 15
ลำดับที่ 1. iPhone 1 (ปี 2007)
ลำดับที่ 2. iPhone 3G (ปี 2008)
ลำดับที่ 3. iPhone 3GS (ปี 2009)
ลำดับที่ 4. iPhone 4 (ปี 2010)
ลำดับที่ 5. iPhone 4S (ปี 2011)
ลำดับที่ 6. iPhone 5 (ปี 2012)
ลำดับที่ 7. iPhone 5S (ปี 2013)
ลำดับที่ 8. iPhone 5C (ปี 2013)
ลำดับที่ 9. iPhone 6 & iPhone 6 Plus (ปี 2014)
ลำดับที่ 10. iPhone 6S & iPhone 6S Plus (ปี 2015)
ลำดับที่ 11. iPhone SE (ปี 2016)
ลำดับที่ 12. iPhone 7 & iPhone 7 Plus (ปี 2016)
ลำดับที่ 13. iPhone 8 & iPhone 8 Plus (ปี 2017)
ลำดับที่ 14. iPhone X (ปี 2017)
ลำดับที่ 15. iPhone XS & iPhone XS Max (ปี 2018)
ลำดับที่ 16. iPhone XR (ปี 2018)
ลำดับที่ 17. iPhone 11 & iPhone 11 Pro & iPhone 11 Pro Max (ปี 2019)
ลำดับที่ 18. iPhone SE รุ่นที่ 2 (ปี 2020)
ลำดับที่ 19. iPhone 12, iPhone 12 mini, iPhone 12 Pro, iPhone 12 Pro Max (ปี 2020)
ลำดับที่ 20. iPhone 13, iPhone 13 mini, iPhone 13 Pro, iPhone 13 Pro Max (ปี 2021)
ลำดับที่ 21. iPhone SE รุ่นที่ 3 (ปี 2022)
ลำดับที่ 22. iPhone 14, iPhone 14 Plus, iPhone 14 Pro, iPhone 14 Pro Max (ปี 2022)
ลำดับที่ 23. iPhone 15, iPhone 15 Plus, iPhone 15 Pro, iPhone 15 Pro Max (ปี 2023)

Generation ของ iPhone 1 ถึง iPhone 15 มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้าง

สิ่งที่เปลี่ยนแปลงหลักๆ ของไอโฟนทุกรุ่นตั้งแต่ไอโฟน 1 จนถึงปัจจุบันนี้ อย่างแรกเลยก็ต้องเป็นเรื่องของการดีไซน์ ที่แต่ละรุ่นนั้นได้มีการเปลี่ยนแปลงกัน ตั้งแต่รุ่นที่เป็นเครื่องโค้งมน เป็นเครื่องเหลี่ยม กลับไปเป็นรุ่นโค้งมน และสุดท้ายก็กลับมาเป็นเครื่องเหลี่ยมอีกรอบ นอกจากนี้ยังมีเรื่องของสเปคภายใน ฟีเจอร์ กับภายนอกที่ได้พัฒนาให้ดีขึ้นมากกว่าเดิมเรื่อยๆ อย่างเช่นปุ่ม Home ที่ไอโฟนรุ่นแรกๆ นั้นจะเป็นปุ่มปกติ และได้เปลี่ยนเป็น Touch ID และสุดท้ายก็ได้เอาปุ่มออกไป และใช้แบบ Face ID แทนทั้งหมด ทำให้ทั้งหน้าจอนั้นไม่มีปุ่มอะไรหลงเหลืออยู่เลย รวมไปถึงกล้อง และรายละเอียดต่างๆ อีกมากมาย เรามาทำความรู้จัก iPhone 1 ถึง iPhone 15 กันเลยดีกว่า

ลำดับแรก iPhone 1 (ไอโฟน รุ่นแรก 2007, iPhone 2G)

มาเริ่มกันที่ไอโฟนรุ่นแรกกันก่อนเลย ซึ่งรุ่นนี้จริงๆ แล้วเรียกว่า iPhone เฉยๆ แต่เมื่อมีหลายรุ่นตามออกมา จึงจำเป็นต้องมีชื่อเรียกที่แตกต่างไปจากไอโฟนเฉยๆ โดยบางคนอาจจะเรียกว่า iPhone 2G, iPhone รุ่นแรก หรือ iPhone 1 ก็แล้วแต่การเรียกของแต่ละคนเลย แต่เราขอใช้คำว่า iPhone 1 ก็แล้วกัน จะได้ง่ายต่อการเข้าใจ โดยรุ่นนี้เป็นรุ่นที่เปิดตัวออกมาครั้งแรกตอนวันที่ 9 มกราคม ปี 2007 และสำหรับใครที่เคยใช้งานในช่วงเวลานั้น จะพบว่าเป็นมือถือที่หน้าตาแปลกมาก และไม่เหมือนกับใครในยุคนั้นเลย (ยุค Blackberry, Nokia) ซึ่งการดีไซน์ในตอนนั้นจะมีเพียงแค่หน้าจอที่ว่างเปล่า มีเพียงปุ่ม Home เพียงปุ่มเดียวบนหน้าจอ และทุกอย่างจะใช้การ Touch Screen หมด สเปคของรุ่นนี้คือหน้าจอที่เป็น LCD กับความละเอียดเพียง 320 x 480 pixels เท่านั้น แต่ด้วยการดีไซน์และสเปคการใช้งานที่แปลกใหม่ จึงทำให้ iPhone 1 ตัวนี้เป็นนวตกรรมที่มาเขย่าวงการมือถือทั้งหมดเลยทีเดียว ราคาตอนนี้ถ้าเป็นเครื่องใหม่ๆ ใน Ebay ประมูลขายได้สูงสุด 892,251 บาท

รายละเอียดสเปค iPhone 1
หน้าจอ LCD ความละเอียด 320 x 480 pixels กว้าง 3.5 นิ้ว
CPU ARM 1176JZ
RAM 128MB
ROM 4GB/ 8GB/ 16GB
กล้องหลัง 2Megapixel
กล้องหน้า –
แบตเตอรี่ 1400 Milliampere hour

ลำดับที่ 2 iPhone 3G (ปี 2008)

ไอโฟนรุ่นต่อมาจาก iPhone 1 รุ่นนี้ ได้ถูกพัฒนาออกมาให้มีความโค้งมน ดูมีสไตล์และทันสมัยมากยิ่งขึ้น โดยรุ่นนี้ได้เปิดตัวขึ้นในปีถัดมาคือปี 2008 กับสเปคที่ยังคงคล้ายคลึงกับไอโฟนรุ่นแรกมาก ทั้งหน้าจอ ขนาดความกว้าง และสเปคภายในที่เหมือนกันแทบจะทุกอย่างเลย จะไปมีความต่างก็ตรงที่ว่า ไอโฟนรุ่นที่ 2 นี้เพิ่มการเชื่อมต่อ ที่เหนือกว่าไอโฟนรุ่นแรก และไอโฟนรุ่นที่สามารถเชื่อมต่อ 3G ได้เครื่องแรกอีกด้วย นอกจากนี้ความพิเศษของไอโฟนรุ่นที่ 2 ก็คือการเพิ่ม App Store เข้ามาอยู่ในเครื่อง เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถดาวน์โหลดแอปฯ มาใช้งานได้ ไม่ว่าจะเป็นเกม หรือแอปฯ อื่นๆ อีกเยอะมาก ที่สำคัญคือมีสีเคสมาให้เลือกกันแล้ว ได้แก่สีดำ และสีขาว (Outer Casing) รุ่นนี้ตอนที่เปิดตัวและวางขาย เท่าที่จำได้ตอนนั้นประเทศไทย จะยังไม่ได้เอามาวางขาย ต้องนำเครื่องมาจากต่างประเทศ และมาปลดล็อคการใช้งานอีกที แน่นอนว่ายังไม่ได้ดังในประเทศเราเท่าไหร่นักด้วย

รายละเอียดสเปค iPhone 3G
หน้าจอ LCD ความละเอียด 320 x 480 pixels กว้าง 3.5 นิ้ว
CPU ARM 1176JZ
RAM 128MB
ROM 8GB/ 16GB
กล้องหลัง 2Megapixel
กล้องหน้า –
แบตเตอรี่ 1,150 Milliampere hour

ลำดับที่ 3 iPhone 3GS (ปี 2009)

ไอโฟนรุ่นแรก ที่นำเข้ามาขายอย่างเป็นทางการในประเทศไทย และเป็นช่วงยุคแรกๆ ที่เราได้เริ่มรู้จักไอโฟนกัน โดยรุ่นนี้ได้เปิดตัวออกมาในปี 2009 ซึ่งหลังจากรุ่นนี้ได้นำมาวางขายอย่างเป็นทางการ ก็ทำให้หลายๆ คนที่ใช้มือถือเดิมๆ อยู่ หันมาลองใช้ไอโฟนกันบ้าง แต่รุ่นนี้ก็ยังคงคอนเซปต์การออกแบบเหมือนเดิมอยู่ ที่ยังคงเป็นแบบโค้งมน แต่มีสีให้เลือกแล้วคือสีดำ และสีขาว ที่สำคัญคือการอัพเกรดให้รุ่นนี้ด้วยชิปตัวใหม่ ที่เร็วและแรงกว่ารุ่นก่อนหน้าเป็นอย่างมาก จึงได้ใช้ชื่อว่า iPhone 3GS ที่ “S” นั้นย่อมาจากคำว่า Speed นั่นเอง นอกจากความแรงของสเปคที่เพิ่มเข้ามาแล้ว ยังมีการเพิ่มแอปฯ เข็มทิศ กล้อง ที่สามารถกดโฟกัสได้ด้วยการแตะบนหน้าจอ กับการถ่ายวิดีโอ และการสั่งงานด้วยเสียงเพิ่มเข้าไปด้วย จึงทำให้รุ่นนี้เริ่มเหนือกว่าคู่แข่งที่มีอยู่ก่อนหน้า และเริ่มตีตลาดมือถือเข้ามาเรื่อยๆ

รายละเอียดสเปค iPhone 3GS
หน้าจอ LCD ความละเอียด 320 x 480 pixels กว้าง 3.5 นิ้ว
CPU ARM Cortex-A8
RAM 256MB
ROM 8GB/ 16GB/ 32GB
กล้องหลัง 3Megapixel
กล้องหน้า –
แบตเตอรี่ 1,220 Milliampere hour

ลำดับที่ 4 iPhone 4 (ปี 2010)

ไอโฟนรุ่นต่อมาที่เปิดตัวเมื่อปี 2010 รุ่นที่ 4 นี้ จะบอกว่าเป็นมือถือ รุ่นที่เข้ามาเขย่าวงการมือถือพกพาอย่างแท้จริงเลยก็ว่าได้ เพราะรุ่นนี้ได้เปลี่ยนโฉมหน้าตาของรุ่นเดิมออกไปหมดเลย จากที่เป็นแบบโค้งมน ในรุ่นนี้ได้เปลี่ยนใหม่เป็นแบบเหลี่ยม ที่มีวัสดุเป็นสแตนเลสแทน ทำให้ตัวเครื่องบางลงด้วย พร้อมกับความละเอียดของหน้าจอที่มากขึ้น ที่ใช้เป็นแบบ Retina Display ให้สีสันที่สมจริง จนถือได้ว่าสูงสุดแล้วในตอนนั้นก็ว่าได้ ส่วนชิปของตัวนี้ ก็ได้เปลี่ยนใหม่ทั้งหมด โดยใช้เป็นชิปของ Apple เอง ที่เร็วและแรงกว่าเดิมขึ้นไปอีก พร้อมกับกล้องหน้าที่สามารถ Facetime ผ่าน Wi-Fi ใส่เข้ามาเป็นรุ่นแรกของไอโฟนเลย ส่วนกล้องหลังก็ได้เพิ่มความละเอียดให้มากขึ้นกว่าเดิม รุ่นนี้เป็นรุ่นที่คนใช้งานกันเยอะมากๆ ถ้าใครที่ใช้ทันตอนออกมาใหม่ๆ จะรู้ได้เลยว่ามันฮิตจนทำให้แบรนด์อื่นๆ ดับกันมาแล้ว

รายละเอียดสเปค iPhone 4
หน้าจอ LCD ความละเอียด 960 x 640 pixels Retina Display กว้าง 3.5 นิ้ว
CPU Apple A4
RAM 512MB
ROM 8GB/ 16GB/ 32GB
กล้องหลัง 5Megapixel
กล้องหน้า 0.3Megapixel
แบตเตอรี่ 1,420 Milliampere hour

ลำดับที่ 5 iPhone 4S (ปี 2011)

ไอโฟนรุ่นต่อมา นับตั้งแต่ iPhone 1 จนถึงก่อน iPhone 4S รุ่นนี้ที่ Steve Jobs ได้สร้างขึ้นมา แต่ก็ได้เสียชีวิตลงก่อนที่จะได้เปิดตัวในปี 2011 หลายคนจึงคิดว่าชื่อ iPhone 4S นี้ได้ใส่ตัว “S” เข้าไปเพื่อเป็นการ Tribute ให้แก่ Steve Jobs ด้วย แต่ความจริงแล้วก็น่าจะใส่เข้าไปเพราะรุ่นนี้ ได้เปลี่ยนสเปคภายในใหม่ทั้งหมด ทั้งชิปที่ทำให้เครื่องเร็วแรงขึ้น กล้องที่มีความละเอียดมากขึ้น และถ่ายวิดีโอแบบ Full HD ได้แล้วด้วย และที่เด่นที่สุดก็คงต้องเป็น Siri ที่ได้เปิดตัวออกมาครั้งแรก และเป็นตัวช่วยให้เราได้ใช้งานไอโฟนง่ายขึ้น จนถึงปัจจุบันในรุ่นนี้เหมือนกัน ถึงแม้ว่าสเปคภายในของรุ่นนี้ได้เปลี่ยนไปเยอะมาก แต่ภายนอกกลับไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนเท่าไหร่นัก ทั้งการดีไซน์ และรูปแบบของตัวเครื่อง จะมีเปลี่ยนไปก็คือเพิ่มขีดขึ้นมาเหนือปุ่มเปิด – ปิดเสียงเท่านั้น (จุดสังเกตของทั้งสองรุ่นเลย) นอกจากนี้ยังเพิ่มฟีเจอร์เข้ามาอีกเช่น iCloud, iMessage ฯลฯ

รายละเอียดสเปค iPhone 4S
หน้าจอ LCD ความละเอียด 960 x 640 pixels Retina Display กว้าง 3.5 นิ้ว
CPU Apple A5
RAM 512MB
ROM 8GB/ 16GB/ 32GB/ 64GB
กล้องหลัง 8Megapixel
กล้องหน้า 0.3Megapixel
แบตเตอรี่ 1,430 Milliampere hour

ลำดับที่ 6 iPhone 5 (ปี 2012)

หลังจากที่หมดยุคของ Steve Jobs ลงตั้งแต่ iPhone 1 ถึง iPhone 4 หลายๆ คนก็มองว่าไอโฟนอาจจะทำออกมาได้ไม่ดีเท่าของเก่า ซึ่งตอนนั้นได้กลายเป็นข้อกังขาของใครหลายๆ คนอยู่เหมือนกัน โดยเฉพาะ iPhone 5 ที่ออกมาในปี 2012 และได้เปลี่ยนหน้าตา และการดีไซน์ของรุ่นนี้ใหม่ทั้งหมด โดยวัสดุส่วนใหญ่จะใช้เป็นอลูมิเนียม ทำให้ตัวเครื่องนั้นบางลงไปอีก แต่ก็ยังคงมีความเหลี่ยมๆ เหมือนของเดิมอยู่ หน้าจอที่มีขนาดใหญ่ขึ้น และมีความละเอียดเพิ่มขึ้นระดับหนึ่งเลยทีเดียว พร้อมกับสเปคภายในที่เสริมแต่งความแรงด้วยชิปตัวใหม่ และเพิ่มฟีเจอร์ให้ใช้งานกันมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเชื่อมต่อที่ต่อ 4G LTE, ใช้สาย Lightning, แอปฯ Apple Maps, หูฟัง Earpods ส่วนกล้องหลังยังเหมือนเดิม แต่เพิ่มความละเอียดกล้องหน้าขึ้นมาอีก เพื่อให้เซลฟี่ หรือ Facetime (ผ่านเน็ตมือถือ) ได้อย่างชัดเจนกันมากขึ้น

รายละเอียดสเปค iPhone 5
หน้าจอ LCD ความละเอียด 1,136 x 640 pixels Retina Display กว้าง 4 นิ้ว
CPU Apple A6
RAM 1GB
ROM 16GB/ 32GB/ 64GB
กล้องหลัง 8Megapixel
กล้องหน้า 1.2Megapixel
แบตเตอรี่ 1,440 Milliampere hour

ลำดับที่ 7 iPhone 5S (ปี 2013)

กลับมาทวงบัลลังก์คืนอีกครั้งด้วย iPhone 5S ที่เปิดตัวมาพร้อมกับ iPhone 5C ในปีเดียวกันคือปี 2013 ซึ่งถ้าดูเผินๆ แล้วก็ดูเหมือนไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรเท่าไหร่นัก เพราะภายนอกจะเพิ่มมาแค่สี กับตัวแฟลชของกล้องหลังที่เปลี่ยนไปเป็นแบบ Dual LED กับฟีเจอร์กล้องที่สามารถถ่ายแบบ Slow Motion ได้แล้ว แต่สเปคความละเอียดของกล้องหน้า และกล้องหลังยังคงเท่าเดิมเหมือน iPhone 5 ส่วนชิปก็ได้เปลี่ยนไปเป็นตัว Apple A7 ที่เป็นแบบ 64-bit ตัวแรกของโลกในตอนนั้น แน่นอนว่ามันเร็วขึ้นมากๆ เร็วกว่ารุ่นเดิมถึง 40 เท่าเลยทีเดียว จุดเปลี่ยนแปลงของยุคสมัยเดิมจาก iPhone 1 ก็คือปุ่ม Home ที่สามารถใช้งาน Touch ID ได้รุ่นแรก ซึ่งไม่จำเป็นต้องใส่รหัสให้เสียเวลาอีกต่อไปแล้ว แค่เพียงใช้ลายนิ้วมือกดปุ่ม Home ก็ปลดล็อคหน้าจอได้แล้ว สะดวกต่อการใช้งานอย่างเต็มที่

รายละเอียดสเปค iPhone 5S
หน้าจอ LCD ความละเอียด 1,136 x 640 pixels Retina Display กว้าง 4 นิ้ว
CPU Apple A7
RAM 1GB
ROM 16GB/ 32GB/ 64GB
กล้องหลัง 8Megapixel
กล้องหน้า 1.2Megapixel
แบตเตอรี่ 1,560 Milliampere hour

ลำดับที่ 8 iPhone 5C (ปี 2013)

รุ่นตัวเล็กที่ราคาเปิดตัวออกมาไม่ได้เล็กเท่าไหร่เลย แต่ก็สร้างขึ้นมาเพื่อเป็นตัวเลือก สำหรับคนที่ชอบสีสันสดใส เพราะรุ่นนี้ได้ทำออกมาให้ใช้งานมากถึง 5 สีคือ สีขาว สีเขียว สีฟ้า สีชมพู และสีเหลือง และใช้วัสดุฝาหลังเป็นพลาสติกทั้งหมด แถมยังเอาสเปคเดิมจาก iPhone 5 มาใส่อีก จะต่างกันก็ที่ฟีเจอร์นิดหน่อย ช่วงที่รุ่นนี้ออกมาใหม่ๆ เลยทำให้หลายคนไม่ค่อยอินกับรุ่นนี้ และไปซื้อ iPhone 5S หรือ iPhone 5 แทนจะดีกว่า แต่สำหรับคนที่ชอบสีสัน และเบื่อกับรูปแบบเดิมๆ ของไอโฟนที่ผ่านๆ มา ก็มีหลายคนไปลองซื้อมาใช้งานอยู่เหมือนกัน โดยรวมแล้วคือเป็นรุ่นที่มีสีสวยงามดี

รายละเอียดสเปค iPhone 5C
หน้าจอ LCD ความละเอียด 1,136 x 640 pixels Retina Display กว้าง 4 นิ้ว
CPU Apple A6
RAM 1GB
ROM 16GB/ 32GB
กล้องหลัง 8Megapixel
กล้องหน้า 1.2Megapixel
แบตเตอรี่ 1,510 Milliampere hour

ลำดับที่ 9 iPhone 6 & iPhone 6 Plus (ปี 2014)

การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่มาอีกครั้งในปีถัดมา นับตั้งแต่ iPhone 1 จนถึง iPhone 5S ที่มีรูปแบบการดีไซน์ไปแล้ว 1 ครั้ง แต่ในปี 2014 ได้เปลี่ยนการดีไซน์ตัวเครื่องใหม่ให้เป็นแบบโค้ง แต่ไม่ได้โค้งแค่ข้างหลังอย่างเดียว รุ่นนี้จะเป็นแบบโค้งแค่ตรงขอบ และหน้าหลังนั้นเรียบ แถมยังทำให้ตัวเครื่องเบาและบางกว่าเดิมมาก แต่สิ่งที่เห็นได้ชัดจากการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ ก็คือความกว้างของหน้าจอ ที่ได้เพิ่มมาเป็น 4.7 นิ้วในรุ่นปกติ และเพิ่มอีกเป็น 5.5 นิ้วในรุ่น 6 Plus แน่นอนว่าการเปลี่ยนหน้าจอที่ใหญ่ขึ้น ผู้ใช้งานเดิมบางส่วนก็มองว่าหน้าจอมันใหญ่เกินไป ถือเล่นยาก และที่สำคัญคือความบางของตัวเครื่อง ทำให้ผู้ใช้งานพบปัญหาเครื่องงอเมื่อใส่ในกระเป๋ากางเกง จนต้องเปลี่ยนวัสดุกันใหม่เลย นอกจากนี้ยังได้เพิ่มฟีเจอร์ NFC เข้ามาให้ใช้งานกับ Apple Pay ในรุ่นนี้ได้แล้วด้วย และกล้องยังความละเอียดเท่าเดิมแต่รุ่น 6 Plus จะมีระบบกันสั่นแบบ OIS เพิ่มเข้ามา

รายละเอียดสเปค iPhone 6
หน้าจอ LCD ความละเอียด 1334×750 pixels Retina HD Display กว้าง 4.7 นิ้ว
CPU Apple A8
RAM 1GB
ROM 16GB/ 32GB/ 64GB
กล้องหลัง 8Megapixel
กล้องหน้า 1.2Megapixel
แบตเตอรี่ 1,810 Milliampere hour

รายละเอียดสเปค iPhone 6 Plus
หน้าจอ LCD ความละเอียด 1920×1080 pixels Retina HD Display กว้าง 5.5 นิ้ว
CPU Apple A8
RAM 1GB
ROM 16GB/ 32GB/ 64GB
ก้องหลัง 8Megapixel (กันสั่น OIS)
ก้องหน้า 1.2Megapixel
แบตเตอรี่ 2,915 Milliampere hour

ลำดับที่ 10 iPhone 6S & iPhone 6S Plus (ปี 2015)

ยังคงคอนเซปต์เดิม ที่เปิดตัวใหม่ออกมาเป็นรุ่นที่เร็วแรงกว่าเดิม และใส่ S เข้าไปในรุ่นนั้นในปีต่อมาคือปี 2015 ที่ยังคงมีการดีไซน์ที่เหมือนกับรุ่นก่อนหน้านี้เลย ไม่ค่อยมีอะไรเปลี่ยนแปลงอะไรมากนัก ถ้าดูจากภายนอก แต่ความจริงแล้วรุ่นนี้จะมีน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อย เพราะเปลี่ยนมาใช้ Aluminum – 7000 ที่มีความแข็งแรง และไม่ทำให้งอเหมือนกับรุ่นก่อนด้วย แถมสเปคภายในก็ได้เปลี่ยนเป็นชิปที่แรงขึ้น และใช้หน้าจอแบบใหม่ ที่เป็นแบบ 3D Touch สามารถแยกน้ำหนักจากการกดใช้งานได้ และเพิ่มความปลอดภัยในการใช้งานด้วย Touch ID Gen 2 ส่วนกล้องหลังนั้นได้เพิ่มประสิทธิภาพให้สูงขึ้น โดยสามารถถ่ายวิดิโอได้ถึง 4K กันเลย กล้องหน้าก็เพิ่มมาไม่แพ้กัน และยังมี Retina Flash ที่ถ่ายเซลฟี่ได้ไม่ต้องกลัวมืด และด้วยการอัพเกรดใหญ่แบบนี้ รุ่นนี้จึงได้รับความนิยมสูงพอสมควรเลยในตอนนั้น

รายละเอียดสเปค iPhone 6S
หน้าจอ LCD ความละเอียด 1334×750 pixels Retina HD Display กว้าง 4.7 นิ้ว 3D Touch
CPU Apple A9
RAM 2GB
ROM 16GB/ 32GB/ 64GB/ 128GB
กล้องหลัง 12Megapixel
กล้องหน้า 5Megapixel
แบตเตอรี่ 1,715 Milliampere hour

รายละเอียดสเปค iPhone 6S Plus
หน้าจอ LCD ความละเอียด 1920×1080 pixels Retina HD Display กว้าง 5.5 นิ้ว 3D Touch
CPU Apple A9
RAM 2GB
ROM 16GB/ 32GB/ 64GB/ 128GB
กล้องหลัง 12Megapixel (กันสั่น OIS)
กล้องหน้า 5Megapixel
แบตเตอรี่ 2,750 Milliampere hour

ลำดับที่ 11 iPhone SE (ปี 2016)

ผ่านมาหลังจากรุ่นใหญ่ได้เปิดตัวกันออกไป จู่ๆ ก็มีรุ่นน้องเล็กย้อนยุคออกมาตอนต้นปี 2016 ทั้งหน้าตาและการดีไซน์ภายนอก ที่หลายคนเห็นก็ต้องบอกว่ามันคือ iPhone 5S ชัดๆ แต่ที่ทาง Apple ทำรุ่นเล็กออกมานี้ ก็เป็นความตั้งใจที่จะให้รุ่นนี้นั้น สามารถจับต้องได้ง่าย ด้วยราคาที่ไม่แพง และเอาใจผู้ที่ชอบใช้งานมือถือเครื่องเล็กๆ ไม่ได้อยากใช้หน้าจอใหญ่ แถมยังได้อิทธิพลจากรุ่นใหญ่มาแบบจัดเต็ม จึงทำให้รุ่นนี้ดูเหมือนว่าจะเล็ก แต่ความจริงแล้วไม่เล็กอย่างที่คิดเลย ทั้งชิป และสเปคของกล้อง แน่นอนว่าของดีและราคาถูกขนาดนี้ เมื่อเปิดตัวออกมารุ่นนี้จึงขายดีมากๆ จน Apple ต้องเพิ่มยอดขาย ด้วยการปรับความจุที่มากขึ้น รองรับการใช้งานกับทุกคน

รายละเอียดสเปค iPhone SE
หน้าจอ LCD ความละเอียด 1,136 x 640 pixels Retina Display กว้าง 4 นิ้ว
CPU Apple A9
RAM 2GB
ROM 16 GB/ 64 GB (เดิม) 32 GB / 128 GB (ปรับใหม่)
กล้องหลัง 12Megapixel
กล้องหน้า 1.2Megapixel
แบตเตอรี่ 1,642 Milliampere hour

ลำดับที่ 12 iPhone 7 & iPhone 7 Plus (ปี 2016)

ในปีเดียวกันนั้น ก็ได้เปิดตัวรุ่นใหม่มาอีกรุ่นคือ iPhone 7 และ iPhone 7 Plus ที่การดีไซน์ภายนอกนั้น ก็ยังคงมีความคล้ายคลึงกับรุ่นก่อนอยู่เหมือนกัน จะมีต่างกันถ้าดูเผินๆ ก็คือรุ่นนี้ได้มีการซ่อนแถบเสาอากาศด้านหลังออกไป แต่ถ้าใส่เคสปิดไปก็แยกแทบไม่ออกเลย นอกจากจะเป็นตัว iPhone 7 Plus ที่มีกล้องหลังแบบคู่ ซึ่งเป็นรุ่นแรกของ iPhone ด้วยเช่นกัน ที่มีกล้อง 2 ตัวแล้ว นอกจากนี้ยังมีสีใหม่คือสีดำเงา Jet Black และสีแดง RED (เฉพาะรุ่นสูงๆ เท่านั้น) มีการปรับปุ่ม Home แบบใหม่ และมีสีสันที่มากขึ้น อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้รุ่นนี้เป็นที่พูดถึงเลยก็คือ การนำช่องเสียบหูฟังออก และต้องใช้ลำโพงแทน แต่ได้เพิ่มการกันฝุ่นกันน้ำแบบ IP 68 เข้ามาแทนเป็นรุ่นแรกของไอโฟนด้วย และด้วยกระแสที่ไปในทางที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ รุ่นนี้จึงไม่ค่อยฮอตฮิตเท่ารุ่นก่อนหน้านี้เลย

รายละเอียดสเปค iPhone 7
หน้าจอ LCD ความละเอียด 1334×750 pixels Retina HD Display กว้าง 4.7 นิ้ว 3D Touch
CPU Apple A10
RAM 2GB
ROM 16GB/ 32GB/ 64GB/ 128GB
กล้องหลัง 12Megapixel
กล้องหน้า
7Megapixel
แบตเตอรี่ 1,960 Milliampere hour

รายละเอียดสเปค iPhone 7 Plus
หน้าจอ LCD ความละเอียด 1920×1080 pixels Retina HD Display กว้าง 5.5 นิ้ว 3D Touch
CPU Apple A10
RAM 3GB
ROM 16GB/ 32GB/ 64GB/ 128GB
ก้องหลัง 12Megapixel พร้อมเลนส์เทเลโฟโต้
กล้องหน้า 7Megapixel
แบตเตอรี่ 2,900 Milliampere hour

ลำดับที่ 13 iPhone 8 & iPhone 8 Plus (ปี 2017)

หลังจากที่ทาง Apple ได้ปล่อย iPhone 7 ออกมาและผลตอบรับไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่นัก อีกปีถัดมาก็ได้เปิดตัว iPhone 8 และ iPhone 8 Plus ขึ้นในปี 2017 และได้เปลี่ยนอะไรหลายๆ อย่างจากรุ่นเดิม ถ้าไม่รวมการดีไซน์ที่ยังคงเป็นเหมือนเดิมอยู่นะ สิ่งที่เปลี่ยนไปอย่างแรกเลยก็คือชื่อที่ไม่มีซีรีส์ “S” อีกต่อไปแล้ว และก็ได้เปลี่ยนวัสดุภายนอกทั้งหมดด้วย เพื่อให้ตัวเครื่องนั้น สามารถชาร์จแบตแบบไร้สายได้รุ่นแรก ตั้งแต่ iPhone 1 ที่ต้องใช้สายเลย นอกจากนี้ก็ยังได้ชิปตัวใหม่ที่เร็วกว่าเดิมใส่เข้าไปด้วย และเป็นรุ่นสุดท้ายที่มีปุ่ม Home ซึ่งรุ่นนี้ในตอนแรกที่เปิดตัวออกมา ไม่ค่อยจะเป็นที่นิยมมากนัก เพราะว่ามีข่าวลือว่าในปีนั้น จะมีไอโฟนเปิดตัวมาถึงสองรุ่นในปีเดียวกัน คนที่ใช้งานจึงรอให้ตัวใหม่ออกมาก่อน แล้วค่อยตัดสินใจซื้อ แต่ในปัจจุบัน iPhone 8 Plus เป็นที่นิยมมากๆ สำหรับคนที่แคสเกม เพราะมีหน้าจอที่พอดี และสเปคเครื่องที่ยังแรงอยู่นั่นเอง

รายละเอียดสเปค iPhone 8
หน้าจอ LCD ความละเอียด 1334×750 pixels Retina HD Display กว้าง 4.7 นิ้ว 3D Touch
CPU Apple A11
RAM 2GB
ROM 64GB/ 128GB/ 256GB
กล้องหลัง 12Megapixel
กล้องหน้า 7Megapixel
แบตเตอรี่ 1,821 Milliampere hour

รายละเอียดสเปค iPhone 8 Plus
LCD ความละเอียด 1920×1080 pixels Retina HD Display กว้าง 5.5 นิ้ว 3D Touch
CPU Apple A11
RAM 3GB
ROM 64GB/ 128GB/ 256GB
กล้องหลัง 12Megapixel พร้อมเลนส์เทเลโฟโต้
กล้องหน้า 7Megapixel
แบตเตอรี่ 2,691 Milliampere hour

ลำดับที่ 14 iPhone X (ปี 2017)

ในปีเดียวกันคือ 2017 นั้น ไอโฟนก็ได้เปิดตัวมาใหม่อีกรุ่น ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อีกรอบจากเดิมตั้งแต่ไอโฟน 1 ที่เคยมีปุ่ม Home มาให้ใช้งานกันอย่างยาวนาน แต่ในรุ่นนี้ (ข้ามจากรุ่นที่ 9 มาด้วย มาเป็น 10 เลย) ไม่มีปุ่ม Home มาให้แล้ว และเป็นหน้าจอล้วนๆ พร้อมกับแถบดำที่เป็นแถบเล็กๆ ข้างบนหน้าจอเท่านั้น เพื่อให้ได้รับหน้าจอแบบเต็มที่มากขึ้น โดยไม่มีขอบอะไรมารบกวนการใช้งาน ซึ่งการเปิดตัวเพียงรุ่นเดียวนี้ ก็อาจจะเป็นเพราะว่าได้เปิดตัวรุ่นที่ 8 ออกไปก่อนแล้ว จึงไม่มีรุ่นย่อยตามออกมาเลย รุ่นนี้ได้เปลี่ยนหน้าจอใหม่จากเดิมที่เป็น LCD ด้วยนะ ที่สำคัญคือเมื่อเอาปุ่ม Home ออกไปแล้ว สิ่งที่ต้องทิ้งไปด้วยก็คือการสแกนลายนิ้วมือ ที่เปลี่ยนเป็น Facial Recognition หรือการปลดล็อคด้วยหน้าเราแทน (ไม่ได้ใช้กล้องหน้าสแกน) แน่นอนว่าเปิดตัวออกมาใหม่ๆ ก็ต้องโดนพูดถึงเยอะอีกเช่นเคย ส่วนกล้องหน้าและกล้องหลังยังคงเหมือนเดิมอยู่

รายละเอียดสเปค iPhone X
หน้าจอ OLED ความละเอียด 2436×1125 pixels Super Retina HD กว้าง 5.8 นิ้ว 3D Touch
CPU Apple A11
RAM 3GB
ROM 64GB/ 256GB
กล้องหลัง 12Megapixel และเลนส์เทเลโฟโต้
กล้องหน้า 7Megapixel
แบตเตอรี่ 2,716 Milliampere hour

ลำดับที่ 15 iPhone XS & iPhone XS Max (ปี 2018)

ในปีต่อไปทางไอโฟนก็ได้ปล่อยรุ่นใหม่ออกมาในปี 2018 ซึ่งได้เอาชื่อซีรีส์เก่ากลับมาด้วย นั่นก็คือใช้ตัว “S” เข้ามาใส่ในรุ่นอีกครั้ง และก็เหมือนทุกๆ ครั้งที่ยังมีหน้าตาที่ยังคงเหมือนรุ่นเดิม ก่อนที่จะมาเป็นรุ่นที่มี S ถ้ามองจากการดีไซน์ภายนอก ก็คือแทบไม่ต่างอะไรจากกันเลย แต่ที่จะต่างไปก็คือในรุ่น iPhone XS Max ที่ทำหน้าจอออกมาได้ใหญ่มากๆ ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาเลยด้วย นอกจากนี้สิ่งที่เปลี่ยนไปอีกอย่างก็คือกล้อง ที่สามารถถ่ายได้ดียิ่งขึ้น มาพร้อมโหมด HDR อัจฉริยะ และกล้องหน้าที่มีความละเอียดเท่าเดิมทั้งหมด ส่วนชิปเซ็ตของรุ่นนี้ก็ได้เพิ่มมาใหม่ให้เร็วแรงขึ้น พร้อมกับ RAM ที่เหนือกว่าทุกรุ่นที่ผ่านมาเลยด้วย สำหรับรุ่นนี้แล้วค่อนข้างได้รับความนิยมด้วย เพราะสเปคเครื่องที่แรง และหน้าจอที่ใหญ่จุใจคนใช้งานเป็นอย่างมาก และกังเปิดตัวมาพร้อมกับอีกรุ่น ซึ่งเป็นรุ่นรองให้คนได้เลือกซื้อกันคือ iPhone XR

รายละเอียดสเปค iPhone XS
หน้าจอ OLED ความละเอียด 2436×1125 pixels Super Retina HD กว้าง 5.8 นิ้ว 3D Touch
CPU Apple A12
RAM 4GB
ROM 64GB/ 256GB/ 512GB
กล้องหลัง 12Megapixel พร้อมเลนส์เทเลโฟโต้
กล้องหน้า 7Megapixel
แบตเตอรี่ 2,658 Milliampere hour

รายละเอียดสเปค iPhone XS Max
หน้าจอ LCD ความละเอียด 2688×1242 pixels Super Retina HD กว้าง 6.5 นิ้ว 3D Touch
CPU Apple A12
RAM 4GB
ROM 64GB/ 256GB/ 512GB
กล้องหลัง 12Megapixel พร้อมเลนส์เทเลโฟโต้
กล้องหน้า 7Megapixel
แบตเตอรี่ 3,174 Milliampere hour

ลำดับที่ 16 iPhone XR (ปี 2018)

รุ่นต่อมาเป็นรุ่นที่เปิดตัวออกมาพร้อมกันกับรุ่นใหญ่ในปี 2018 ที่เหมือนว่าจะทำออกมาให้คล้ายๆ กับ iPhone 5C ที่มีสีสันสวยงาม พร้อมกับการลดสเปคลงเล็กน้อย เพื่อให้คนเข้าถึงได้ง่ายขึ้น กับราคาที่คนหวังว่าจะประหยัด แต่เปิดตัวออกมาแล้ว ก็คล้ายกับ iPhone 5C จริงๆ เพราะราคาไม่ได้ประหยัดออย่างที่คิดเลย แต่ก็ยังกลายเป็นรุ่นที่ยังขายดี และทาง Apple ก็ยังวางขายอยู่บนหน้าเว็บมาจนถึงปัจจุบันนี้เลยด้วย หน้าจอของรุ่นนี้ได้ลดลงมาเป็นแบบ LCD และนอกจากจะลดสเปคหน้าจอลงแล้ว ยังลด RAM ให้กลับไปเท่ากับ iPhone X อีกด้วย ยังดีที่ได้ชิปตัวใหม่ของ A12 มาให้ใช้งานอยู่ ส่วนกล้องหลังรุ่นนี้ได้กล้องเป็นตัวเดียว ไม่ใช่กล้องคู่เหมือนรุ่นใหญ่

รายละเอียดสเปค iPhone XR
หน้าจอ LCD ความละเอียด 1792 x 828 pixels Liquid Retina HD กว้าง 6.1 นิ้ว 3D Touch
CPU Apple A12
RAM 3GB
ROM 64GB/ 128GB/ 256GB
กล้องหลัง 12Megapixel
กล้องหน้า 7Megapixel
แบตเตอรี่ 2,942 Milliampere hour

ลำดับที่ 17 iPhone 11 & iPhone 11 Pro & iPhone 11 Pro Max (ปี 2019)

เดินมาถึงรุ่นยอดฮิตอีกหนึ่งรุ่น ที่เปิดตัวออกมาในปี 2019 และเปิดตัวพร้อมกันทีเดียวทั้งหมด 3 รุ่นเลย นั่นก็คือไอโฟน 11, ไอโฟน 11 โปร และไอโฟน 11 โปร แมกซ์ ซึ่งทั้งสามรุ่นนี้ ถ้าดูจากการดีไซน์ภายนอกจะเห็นได้ว่าหน้าตาของกล้องหลังนั้น ได้เปลี่ยนออกไปอย่างสิ้นเชิง จากรูปแบบเดิมที่เคยผ่านมา โดยในรุ่นปกตินั้นจะมีกล้องมาให้แค่สองตัว ไม่มีเลนส์เทเลโฟโต้ใส่มาให้ แต่เป็นเลนส์อัลตร้าไวลด์แทน และมีหน้าจอเป็นแบบ LCD ต่างจากอีกสองรุ่นใหญ่ ที่มีกล้องหลังมาให้แบบจัดเต็มถึง 3 ตัว และหน้าจอที่เป็น OLED ส่วนกล้องหน้า และกล้องหลังทุกรุ่นมีความละเอียดเท่ากันหมด แต่มีฟีเจอร์เป็น Night Mode ที่ถ่ายออกมาได้สวยงามสุดๆ นอกจากนี้ยังมีกันสั่น OIS และกันน้ำกันฝุ่นระดับ IP68 อีกด้วย แถมชิปเซ็ตของรุ่นนี้ที่ออกมานั้น แรงกว่าทุกรุ่นทุกชิปที่มีอยู่ในตอนนั้นด้วย สุดท้ายคือวัสดุในรุ่นปกติที่เป็นอลูมิเนียม แต่ถ้าในรุ่นโปร จะใช้วัสดุเป็นสแตนเลสสตีลที่มีความแข็งแรงกว่า ปัจจุบันนี้ไอโฟน 11 ยังคงมีขายอยู่บนเว็บของ Apple

รายละเอียดสเปค ไอโฟน 11
หน้าจอ LCD ความละเอียด 1792 x 828 pixels Liquid Retina HD กว้าง 6.1 นิ้ว 3D Touch
CPU Apple A13
RAM 4GB
ROM 64GB/ 128GB/ 256GB
กล้องหลัง 12Megapixel ทุกเลนส์
กล้องหน้า 12Megapixel
แบตเตอรี่ 3,110 Milliampere hour

รายละเอียดสเปค ไอโฟน 11 Pro
หน้าจอ OLED ความละเอียด 2436 x 1125 pixels Super Retina XDR กว้าง 5.8 นิ้ว 3D Touch
CPU Apple A13
RAM 6GB
ROM 64GB/ 256GB/ 512GB
กล้องหลัง 12Megapixel ทุกเลนส์
กล้องหน้า 12Megapixel
แบตเตอรี่ 3,190 Milliampere hour

รายละเอียดสเปค ไอโฟน 11 Pro Max
หน้าจอ OLED ความละเอียด 2688 x 1242 pixels Super Retina XDR กว้าง 6.5 นิ้ว 3D Touch
CPU Apple A13
RAM 6GB
ROM 64GB/ 256GB/ 512GB
กล้องหลัง 12Megapixel ทุกเลนส์
กล้องหน้า 12Megapixel
แบตเตอรี่ 3,500 Milliampere hour

ลำดับที่ 18 iPhone SE รุ่นที่ 2 (ปี 2020)

หลังจากเปิดตัวรุ่นใหญ่กันไปแล้ว ผ่านมาอีกไม่ถึงปีทาง Apple ก็ได้ปล่อยตัวที่ทำให้หลายๆ คนสนใจกันมากขึ้นไปอีก เพราะเป็นรุ่นที่เคยใช้ชื่อนี้มาแล้วหนึ่งครั้ง และครั้งนี้ก็ได้นำชื่อ SE กลับมาใช้อีก เพื่อกันไม่ให้สับสนก็เลยเรียกกันว่า iPhone SE 2020 ซึ่งหน้าตาของรุ่นนี้ก็ได้ต่างไปจากรุ่นก่อนเยอะมาก เพราะว่าถึงแม้จะเป็นรุ่นเล็ก แต่สเปคนั้นเท่ากับไอโฟน 11 เลย แต่ถ้าดูภายนอกนั้นจะออกแนวคล้ายๆ กับ iPhone 8 ที่อัพเกรดให้เทพมากขึ้น ส่วนกล้องหลังก็ยังได้ถึงระดับเดียวกันด้วย แต่กล้องหน้าไม่เท่ากันนะ ซึ่งหลังจากเปิดตัวออกมารุ่นนี้ก็ขายดีมากเช่นกัน และก็ทำให้คนที่สนใจรุ่นนี้ไปเทียบกับไอโฟน 11 และทำให้ยอดขายของไอโฟน 11 เพิ่มขึ้นตามไปด้วย

รายละเอียดสเปค iPhone SE รุ่น 2 (2020)
หน้าจอ LCD ความละเอียด 1334 x 750 pixels Retina HD กว้าง 4.7 นิ้ว
CPU Apple A13
RAM 3GB
ROM 64GB/ 128GB/ 256GB
กล้องหลัง 12Megapixel
กล้องหน้า 7Megapixel
แบตเตอรี่ 1,821 Milliampere hour

ลำดับที่ 19 iPhone 12, iPhone 12 mini, iPhone 12 Pro, iPhone 12 Pro Max (ปี 2020)

ตั้งแต่เปิดตัวเมื่อปี 2007 นั้นก็ได้มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นหลากหลายครั้ง และครั้งนี้ในปี 2020 ก็ได้มีการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง สำหรับการดีไซน์ตัวเครื่อง หลังจากที่ใช้แบบโค้งมนมาหลายรุ่น ในรุ่น ไอโฟน 12 นี้ ก็ได้เปลี่ยนกลับไปเหมือนกับ iPhone 4 อีกครั้ง แต่มีหน้าจอที่เต็มจออยู่เหมือนเดิม ทำให้รุ่นนี้เป็นรุ่นที่ทำออกมาได้สวยมากๆ และยังเพิ่มสีสันให้ตัวเครื่องให้ดูดีมากยิ่งขึ้น แต่สำหรับสองรุ่นในรุ่นเริ่มต้นนี้ จะใช้วัสดุหน้าจอเป็น Ceramic Shield ที่มีความแข็งแรงมาก ส่วนด้านหลังจะเป็นแบบกระจก และอะลูมิเนียม ในเรื่องของกล้องนั้นต้องบอกว่าในรุ่นนี้แค่รุ่นเริ่มต้น ก็ทำออกมาได้เทพแล้ว โดยให้มาใช้งานกันถึง 2 กล้อง และถ่ายวิดีโอ HDR แบบ Dolby Vision มากถึง 4K กล้องหน้าก็ทำออกมาได้ดีเยี่ยมได้แพ้กันเลย สามารถถ่ายกลางคืนได้จบครบทุกจุด ที่สำคัญของรุ่นนี้เลยก็คือ สามารถเชื่อมต่อ 5G ได้เต็มตัวแล้ว ส่วนในรุ่นโปรขึ้นไปนั้น จะมีกล้องมากถึงสามตัว และสามารถใช้ไฟล์ Apple ProRAW ได้ พร้อมกับมี LiDAR สำหรับการถ่ายภาพตอนกลางคืน ที่สามารถเก็บได้ครบหมดเลย พร้อมกับวัสดุที่เป็นแบบกระจกผิวด้าน และสแตนเลสสตีลที่สวยจริง ถ้าใครได้เห็นของจริงแล้วจะรู้เลยว่าสวยมากๆ นอกจากนี้ยังมี MagSafe สำหรับการชาร์จไร้สาย และรองรับ Fast Charging อีกด้วย

รายละเอียดสเปค ไอโฟน 12
หน้าจอ OLED Super Retina XDR กว้าง 6.1 นิ้ว
CPU Apple A14
RAM 4GB
ROM 64GB/ 128GB/ 256GB
กล้องหลัง 12Megapixel
กล้องหน้า 12Megapixel
แบตเตอรี่ 2815 Milliampere hour

รายละเอียดสเปค ไอโฟน 12 mini
หน้าจอ OLED Super Retina XDR กว้าง 5.4 นิ้ว
CPU Apple A14
RAM 4GB
ROM 64GB/ 256GB/ 512GB
กล้องหลัง 12Megapixel
กล้องหน้า 12Megapixel
แบตเตอรี่ 2227 Milliampere hour

รายละเอียดสเปค ไอโฟน 12 Pro
หน้าจอ OLED Super Retina XDR กว้าง 6.1 นิ้ว
CPU Apple A14
RAM 6GB
ROM 128GB/ 256GB/ 512GB
กล้องหลัง 12Megapixel
กล้องหน้า 12Megapixel
แบตเตอรี่ 2815 Milliampere hour

รายละเอียดสเปค ไอโฟน 12 Pro Max
หน้าจอ OLED Super Retina XDR กว้าง 6.7 นิ้ว
CPU Apple A14
RAM 6GB
ROM 128GB/ 256GB/ 512GB
กล้องหลัง 12Megapixel
กล้องหน้า 12Megapixel
แบตเตอรี่ 3687 Milliampere hour

ลำดับที่ 20 iPhone 13, iPhone 13 mini, iPhone 13 Pro, iPhone 13 Pro Max (ปี 2021)

หลังจากเมื่อปลายปีที่แล้วทาง Apple นั้นได้เปิดตัวมือถือรุ่นใหม่อย่าง iPhone 13 Series ทั้ง 4 รุ่นย่อย 4 สเปคออกมา ก็เรียกได้ว่าสร้างความฮือฮาให้กับวงการมือถือของ Apple อีกครั้ง ถึงแม้ว่าดีไซน์ตัวเครื่องจะคล้ายๆ กับรุ่นก่อนหน้าอยู่บ้าง ที่เปลี่ยนไปก็จะเป็นการดีไซน์ของโมดูลกล้องเป็นหลัก ที่รุ่นเริ่มต้นอย่างไอโฟน 13 และไอโฟน 13 มินิ ที่ได้เปลี่ยนการวางกล้องมาเป็นกล้องคู่ในแนวทแยงแทน (รุ่นเดิมเป็นแนวตั้ง) ส่วนรุ่นโปรทั้งสองรุ่นจะยังคงเหมือนเดิม แค่มีขนาดใหญ่ขึ้น และที่เปลี่ยนไปอีกอย่างหนึ่งก็คือรอยบาก (Notch) ที่มีขนาดเล็กลงกว่าเดิมพอสมควรเลย รวมไปถึงสีใหม่คือสี Sierra Blue ที่เปิดตัวออกมาใหม่ด้วยส่วนสเปคภายในรุ่นนี้จะยังคงใช้งาน 5G ได้เหมือนเดิม พร้อมกับหน้าจอที่เป็น ProMotion 120Hz ในรุ่นโปรไหลลื่นมากขึ้น และยังได้ชิปตัวใหม่เป็น A15 Bionic กับ GPU 5-Core ในรุ่นโปรและรุ่นธรรมดาเป็น GPU 4-Core เหมือนเดิม

กับจุดเด่นๆ ที่หลายคนให้ความสนใจ นั่นก็คือเรื่องของกล้องหลัง ที่รุ่นใหม่นี้สามารถถ่ายมาโครได้แล้วทั้งถ่ายภาพ หรือถ่ายวิดีโอ แถมกล้องหลักยังสามารถเก็บแสงได้มากขึ้น ทำให้การถ่ายภาพตอนกลางคืนเก็บรายละเอียดได้ครบถ้วนสวยงาม ที่น่าสนใจมากๆ สำหรับไอโฟน 13 ก็คือสามารถถ่ายวิดีโอด้วยฟีเจอร์ Cinematic Mode ทำให้เราสามารถถ่ายหน้าชัดหลังเบลออย่างอัจฉริยะ เหมือนกับถ่ายด้วยกล้องถ่ายภาพยนตร์จริงๆ เลย และยังสามารถถ่ายทำ ตัดต่อ และส่งออกไปด้วยไฟล์ ProRes ครบจบในมือถือเครื่องเดียวเลยด้วย นอกจากนี้ก็ยังมีการถ่ายแบบ HDR อัจฉริยะ 4 ได้พร้อมกับมีโหมด “สไตล์ภาพถ่าย” ที่ทำให้ทุกการถ่ายรูปดูดีเป็นธรรมชาติตามต้องการได้เลย ซึ่งรุ่นนี้มีแบตที่อึดกว่ารุ่นก่อนหน้า และมีรุ่นความจุถึง 1TB เลยทีเดียว โดยรวมแล้วเรื่องที่เปลี่ยนไปหนักๆ ก็คือเรื่องของกล้องเป็นส่วนใหญ่เลย สำหรับไอโฟน 13 รุ่นใหม่ที่เปิดตัวออกมาในปี 2021

รายละเอียดสเปค ไอโฟน 13
หน้าจอ OLED Super Retina XDR กว้าง 6.1 นิ้ว
CPU Apple A15
RAM 4GB
ROM 128GB/ 256GB/ 512GB
กล้องหลัง 12Megapixel
กล้องหน้า 12Megapixel
แบตเตอรี่ 3,265 Milliampere hour

รายละเอียดสเปค ไอโฟน 13 mini
หน้าจอ OLED Super Retina XDR กว้าง 5.4 นิ้ว
CPU Apple A15
RAM 4GB
ROM 128GB/ 256GB/ 512GB
กล้องหลัง 12Megapixel
กล้องหน้า 12Megapixel
แบตเตอรี่ 2406 Milliampere hour

รายละเอียดสเปค ไอโฟน 13 Pro
หน้าจอ OLED Super Retina XDR พร้อม ProMotion กว้าง 6.1 นิ้ว
CPU Apple A15
RAM 6GB
ROM 128GB/ 256GB/ 512GB/ 1TB
กล้องหลัง 12Megapixel
กล้องหน้า 12Megapixel
แบตเตอรี่ 3,095 Milliampere hour

รายละเอียดสเปค ไอโฟน 13 Pro Max
หน้าจอ OLED Super Retina XDR พร้อม ProMotion กว้าง 6.7 นิ้ว
CPU Apple A15
RAM 6GB
ROM 128GB/ 256GB/ 512GB/ 1TB
กล้องหลัง 12Megapixel
กล้องหน้า 12Megapixel
แบตเตอรี่ 4,352 Milliampere hour

ลำดับที่ 21 iPhone SE รุ่นที่ 3 (ปี 2022)

กลับมาอีกครั้งสำหรับ iPhone SE ในรุ่นที่ 3 ที่ยังคงดีไซน์เดิมและรูปแบบเดิมเหมือนรุ่นก่อนหน้า จนแทบจะเรียกได้ว่าไม่ค่อยมีอะไรเปลี่ยนแปลงเลยสำหรับดีไซน์ภายนอก ไม่ว่าจะเป็นตัวเครื่องที่มาแบบโค้งมนพร้อมปุ่ม Touch ID มาให้ใช้งานเหมือนเดิม แต่มีเพิ่มเติมคือด้านหลังเป็นแบบกระจกเหมือน iPhone 13 แล้ว ไม่เพียงเท่านั้น รุ่นนี้ยังได้ใช้ชิป A15 Bionic แบบเดียวกับ iPhone 13 อีกด้วย ส่งผลให้รุ่นนี้มีความแรงมากกว่ารุ่นก่อนหน้าถึง 1.2 เท่าเลยทีเดียว นอกจากนี้ยังช่วยทั้งการประหยัดพลังงาน และสามารถใช้ 5G ได้แล้วในรุ่นนี้ ส่วนหน้าจอยังคงเท่าเดิมและเป็น Retina HD แบบ LCD กว้าง 4.7 นิ้วแสดงผลได้แบบ True Tone กับการกันน้ำและฝุ่นได้ที่ระดับ IP67 อีกอย่างที่น่าสนใจก็คือกล้องหลัง 12Megapixel ที่ถ่ายแบบ HDR อัจฉริยะ 4 และ Deep Fusion พร้อมกับฟีเจอร์ “สไตล์ภาพถ่าย” ที่มีเหมือน iPhone 13 ได้ด้วย และยังมีกล้องหน้า 7Megapixel ที่เซลฟี่ได้ดีเหมือนเดิม ถือว่าเป็นอีกหนึ่งรุ่นเล็กที่ยังทำออกมาต่อเนื่องเสมอเลย

รายละเอียดสเปค iPhone SE รุ่น 3 (2022)
หน้าจอ LCD ความละเอียด 1334 x 750 pixels Retina HD กว้าง 4.7 นิ้ว
CPU Apple A15
RAM 4GB
ROM 64GB/ 128GB/ 256GB
กล้องหลัง 12Megapixel
กล้องหน้า 7Megapixel
แบตเตอรี่ 2,018 Milliampere hour

ลำดับที่ 22 iPhone 14, iPhone 14 Plus, iPhone 14 Pro, iPhone 14 Pro Max (ปี 2022)

iPhone รุ่นล่าสุดที่เปิดตัวออกมาช่วงปลายปี 2022 ที่ผ่านมา และได้เปิดตัวฟีเจอร์พร้อมรุ่นใหม่ที่น่าสนใจจนขายหมดเกลี้ยงไปตั้งแต่ช่วงเปิดตัวจนถึงปลายปีก็ยังหมดอยู่ในรุ่นโปรขึ้นไป โดยรุ่นใหม่นี้ขอเริ่มที่รุ่นเริ่มต้นก่อนเลยกับ ไอโฟน 14 และ iPhone 14 Plus ที่ทั้งสองรุ่นนี้อัพเกรดสเปคมาให้ดีขึ้นกว่าเดิม หรือจะบอกว่าอัพเกรดมาจาก iPhone 13 ก็ว่าได้ แต่ทั้งนี้ก็ได้ปลดรุ่น mini ออกไปและใส่รุ่น Plus ที่มีหน้าจอใหญ่เท่าโปรแมกซ์มาแทน ส่วนดีไซน์ตัวเครื่องยังคงคล้ายรุ่นก่อนหน้าที่มีหน้าจอ Ceramic Shield กันน้ำกันฝุ่นระดับ IP68 และกล้องหลังแบบเฉียง มาพร้อมหน้าจอ Super Retina XDR แบบ OLED กว้าง 6.1 นิ้วและรุ่น Plus กว้าง 6.7 นิ้ว และได้ชิปของรุ่น iPhone 13 Pro คือ A15 Bionic ที่อัพเกรดใหม่ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น กับฟีเจอร์ Car Crash Detection ใหม่มาด้วย ในส่วนของกล้องหลังคู่ยังละเอียด 12Megapixel ทั้งคู่และมีการใช้ Photonic Engine ทำให้ภาพละเอียดมากขึ้น กับการปรับปรุงแฟลช True Tone ให้สว่างขึ้นและมีโหมดแอ็คชั่นถ่ายได้นิ่งๆ กับโหมดภาพยนตร์ 4K พร้อมกล้องหน้า TrueDepth ใหม่ อีกด้วย

ไอโฟน 14 Pro และ Pro Max
รุ่นใหญ่อย่าง iPhone 14 Pro และ iPhone 14 Pro Max ก็ได้ปรับปรุงของจริงมากกว่ารุ่นปกติ ถึงแม้ว่าดีไซน์ตัวเครื่องจะยังคล้ายกับรุ่นก่อนหน้า แต่ก็อัพเกรดหน้าจอที่เป็น Super Retina XDR แบบ OLED กว้าง 6.1 นิ้วในรุ่นโปรและกว้าง 6.7 นิ้วในรุ่นโปรแมกซ์ที่มีเทคโนโลยี ProMotion 120Hz กับความสว่างที่เพิ่มมากขึ้นสูงสุด 2,000 นิตมากกว่ารุ่นก่อนหน้า 2 เท่าเลยทีเดียว ที่สำคัญคือรุ่นนี้มีฟีเจอร์ Always-on Display และเปลี่ยนรูกล้องหน้าเป็น Punch Hole และทำเป็น Dynamic Island ที่เปลี่ยนรูปแบบได้ตามการใช้งาน ส่วนชิปก็ได้ตัวใหม่คือ A16 Bionic ที่แรงขึ้นและมี Car Crash Detection เหมือนกัน
กับกล้องหน้า TrueDepth ใหม่ที่ปรับรูรับแสงกว้างขึ้นและกล้องหลังใหม่ตัวหลัก 48Megapixel ที่มีเซ็นเซอร์ Quad-pixel และเลนส์ทั้งอัลตร้าไวด์ กับเทเลโฟโต้ที่ 12Megapixel ที่อัพเกรดมให้ดีขึ้นแถมยังมีฟีเจอร์ 2 เท่าที่จัดเฟรมกล้องเทเลให้ง่ายขึ้น ถ่ายโหมดแอ็คชั่นได้นิ่งมากขึ้นและโหมดภาพยนตร์แบบ 4K พร้อมการจัดการด้วย Photonic Engine ใหม่ที่ช่วยให้ Deep Fusion ทำได้สมจริงมากขึ้น รวมไปถึงแฟลช True Tone ที่สว่างมากขึ้น นอกจากนี้ทุกรุ่นยังมี Emergency satellite ที่เชื่อมต่อกับดาวเทียมได้ยามฉุกเฉิน แต่รองรับแค่บางประเทศเท่านั้น และก็ยังมีพอร์ต Lightning เหมือนเดิมทุกรุ่นด้วย

รายละเอียด สเปค ไอโฟน 14
หน้าจอ OLED Super Retina XDR กว้าง 6.1 นิ้ว
CPU Apple A15
RAM 6GB
ROM 128GB/ 256GB/ 512GB
กล้องหลัง 12Megapixel
กล้องหน้า 12Megapixel
แบตเตอรี่ 3,279 Milliampere hour

รายละเอียด สเปค ไอโฟน 14 Plus
หน้าจอ OLED Super Retina XDR กว้าง 6.7 นิ้ว
CPU Apple A15
RAM 6GB
ROM 128GB/ 256GB/ 512GB
กล้องหลัง 12Megapixel
กล้องหน้า 12Megapixel
แบตเตอรี่ 4,325 Milliampere hour

รายละเอียด สเปค ไอโฟน 14 Pro
หน้าจอ OLED Super Retina XDR พร้อม ProMotion, Dynamic Island กว้าง 6.1 นิ้ว
CPU Apple A16
RAM 6GB
ROM 128GB/ 256GB/ 512GB/ 1TB
กล้องหลัง 48Megapixel + 12Megapixel + 12Megapixel
กล้องหน้า 12Megapixel
แบตเตอรี่ 3,200 Milliampere hour

รายละเอียด สเปค ไอโฟน 14 Pro Max
หน้าจอ OLED Super Retina XDR พร้อม ProMotion, Dynamic Island กว้าง 6.7 นิ้ว
CPU Apple A16
RAM 6GB
ROM 128GB/ 256GB/ 512GB/ 1TB
กล้องหลัง 48Megapixel + 12Megapixel + 12Megapixel
กล้องหน้า 12Megapixel
แบตเตอรี่ 4,323 Milliampere hour

ลำดับที่ 23 iPhone 15, iPhone 15 Plus, iPhone 15 Pro, iPhone 15 Pro Max (ปี 2023)

สำหรับ iPhone 15 Series ทั้งสองรุ่นที่เป็นรุ่นปกติและรุ่นหน้าจอใหญ่ที่เป็นรุ่น Plus เหมือนเดิม แต่ว่ามีการเปลี่ยนดีไซน์ตัวเครื่องใหม่ ด้วยการทำขอบตัวเครื่องให้โค้งมนขึ้น ด้านหลังเป็นแบบกระจกแต่งสี และทำเป็นแบบด้านแล้ว ส่วนโมดูลกล้องยังคงเหมือนเดิม รวมไปถึงด้านหน้าที่เป็น Ceramic Shield กันน้ำกันฝุ่นที่ IP68 ได้เหมือนเดิม ส่วนหน้าจอก็ได้มาใช้งาน Dynamic Island เหมือนรุ่นโปรแล้ว โดยใช้หน้าจอเป็น Super Retina XDR แบบ OLED กว้าง 6.1 นิ้วและ 6.7 นิ้ว สว่างได้สูงสุดถึง 2,000nits เท่ารุ่นโปรด้วย ความแรงของทั้งสองรุ่นได้ชิป A16 Bionic ที่มี RAM 6GB กับความจุ 128GB, 256GB และ 512GB มีฟีเจอร์การเล่นเสียงตามตำแหน่ง, การตรวจจับการชนกัน และได้ชิปอัลตร้าไวด์แบนด์ รุ่นที่ 2 ที่แม่นยำขึ้น ตัวกล้องหลังก็ได้ตัวหลัก 48Megapixel และอัลตร้าไวด์ 12Megapixel ถ่ายแบบเทเลโฟโต้ได้ 2x กล้องหน้า TrueDepth 12Megapixel และเปลี่ยนมาใช้พอร์ต USB-C ในการชาร์จแล้ว

ในส่วนของรุ่นโปรและโปรแมกซ์รุ่นท็อปของซีรีส์ ก็ได้เปลี่ยนมาทำให้ตัวเครื่องมีขอบมนขึ้น อีกทั้งยังเปลี่ยนวัสดุเป็นไทเทเนียมผิวปัดละเอียด ด้านในเชื่อมกับอะลูมิเนียมให้ความแข็งแรงและน้ำหนักเบา ฝาหลังเป็นกระจกด้านกับด้านหน้าที่เป็น Ceramic Shield มีขอบจอบางลง และเปลี่ยนจากปุ่มเปิด-ปิดเสียงเป็นแบบปุ่ม Action ที่เป็นทางลัดเข้าไปสู่การใช้งานอื่นๆ ได้อย่างรวดเร็ว กันน้ำกันฝุ่นที่ IP68 ส่วนหน้าจอเป็น Super Retina XDR แบบ OLED กว้าง 6.1 นิ้วและ 6.7 นิ้วรองรับทั้ง Always-on Display, ProMotion 120Hz และสว่างสูงสุดได้ 2,000nits ความแรงก็ได้จากชิปใหม่ A17 Pro ที่มีประสิทธิภาพและแรงขึ้นทั้งหมด นอกจากนี้ยังมี Ray Tracing จากฮาร์ดแวร์ครั้งแรก เล่นเกมได้ถึงระดับ AAA เลยทีเดียว

เรื่องกล้องหลังของทั้งสองรุ่นนี้ก็มีการอัพเกรดกันด้วย โดยมีตัวหลักความละเอียด 48Megapixel อัลตร้าไวด์ 12Megapixel และเทเลโฟโต้ 12Megapixel ที่มีกันสั่นออปติคอลในตัว ซูมได้สูงสุด 3x แต่ว่ารุ่น Pro Max สามารถทำได้ดีกว่าด้วยการซูมไปถึง 5x ด้วยเตตระปริซึมพร้อมเลนส์ 120 มม. โดยมีความยาวจากเลนส์ทั้ง 24 มม., 28 มม. หรือ 35 มม. มีการรวมพิกเซลได้ 24Megapixel , 48Megapixel ปรับปรุงการถ่ายในที่แสงน้อย และการถ่ายภาพบุคคลให้ดีขึ้นกว่าเดิม สามารถเลือกโฟกัสได้หลังจากที่ถ่ายไปแล้วในอัลบัม กล้องหน้าเป็น TrueDepth 12Megapixel ที่มี HDR อัจฉริยะ 5 ถ่ายได้ดีกว่าเดิม กับการเปลี่ยนมาใช้พอร์ตชาร์จ USB-C ที่รองรับ USB 3 ใหม่แล้วทั้งหมด

รายละเอียด สเปค ไอโฟน 15
หน้าจอ OLED Super Retina XDR, Dynamic Island กว้าง 6.1 นิ้ว สว่าง 2,000nits
CPU Apple A16
RAM 6GB
ROM 128GB/ 256GB/ 512GB
กล้องหลัง 12Megapixel + 12Megapixel
กล้องหน้า 12Megapixel
แบตเตอรี่ 3,367 Milliampere hour

รายละเอียด สเปค ไอโฟน 15 Plus
หน้าจอ OLED Super Retina XDR, Dynamic Island กว้าง 6.7 นิ้ว สว่าง 2,000nits
CPU Apple A16
RAM 6GB
ROM 128GB/ 256GB/ 512GB
กล้องหลัง 12Megapixel + 12Megapixel
กล้องหน้า 12Megapixel
แบตเตอรี่ 4,407 Milliampere hour

รายละเอียด สเปค ไอโฟน 15 Pro
หน้าจอ OLED Super Retina XDR พร้อม ProMotion, Dynamic Island กว้าง 6.1 นิ้ว สว่าง 2,000nits
CPU Apple A17 Pro
RAM 8GB
ROM 128GB/ 256GB/ 512GB/ 1TB
กล้องหลัง 48Megapixel + 12Megapixel + 12Megapixel
กล้องหน้า 12Megapixel
แบตเตอรี่ 3,274 Milliampere hour

รายละเอียดสเปค ไอโฟน 15 Pro Max
หน้าจอ OLED Super Retina XDR พร้อม ProMotion, Dynamic Island กว้าง 6.7 นิ้ว สว่าง 2,000nits
CPU Apple A17 Pro
RAM 8GB
ROM 256GB/ 512GB/ 1TB
กล้องหลัง 48Megapixel + 12Megapixel + 12Megapixel
กล้องหน้า 12Megapixel
แบตเตอรี่ 4,441Milliampere hour

แล้วทั้งหมดนี้ก็เป็นไอโฟนตั้งแต่รุ่นแรก จนมาถึงรุ่นปัจจุบันคือไอโฟน 15 และกำลังจะมีไอโฟน 16 ที่คาดว่าจะเปิดตัวช่วงปลายปี 2024 เหมือนเดิม ซึ่งมีข่าวหลุดออกมามากมาย ว่าหน้าตาอาจจะเปลี่ยนไปบ้างเล็กน้อยทั้งขอบมุมโค้ง กล้องหลัง และรายละเอียดอื่นๆ ที่น่าสนใจอีก แถมยังมีโมดูลกล้องที่อาจเปลี่ยนไปอีก กับอีกหลายๆ อย่างที่จะเปลี่ยนไป และยังมีเรื่องที่แฟนๆ ไอโฟนอยากได้อีกหลายอย่าง แต่ทั้งนี้ก็คงต้องรอของจริงออกมาก่อนอยู่ดี เพราะว่าไม่แน่ก็อาจจะไม่ได้เป็นไปแบบที่ข่าวลือออกมาเสมอไป แต่ถ้ามีเรื่องราวใหม่ๆ มาให้เราอัพเดท เราก็จะรีบมาอัพเดทให้ได้รู้กันเรื่อยๆ เลยนะครับ

ปรับปรุงและเรียบเรียงใหม่ โดย ป๊อกซ่าไอที
ที่มา specphone.com


ผู้อ่านสามารถสนับสนุนเว็บไซต์ โดยการอุดหนุนนิยายบนเว็บไซต์ เขียนกันดอทคอม เว็บไซต์อ่านนิยายที่คนตาบอดเป็นเจ้าของ และอยากให้สังคมการอ่านเป็นของคนทุกกลุ่ม ไม่ว่าตาดีหรือตาบอด

ให้ดาวบทความนี้: 
No votes yet

แสดงความคิดเห็น