คุณอยู่ที่

เป็นคนตาบอด จะต้องวิ่งหาโอกาสอยู่เสมอ

ปรับขนาดตัวอักษร

-A A +A
รูปภาพของ suriyan
เขียนโดย suriyan เมื่อ เสาร์, 05/18/2019 - 16:51

หลายคนถามหาโอกาส แต่ไม่วิ่งหาโอกาส

ยิ่งโดยเฉพาะคนตาบอดด้วยแล้ว มีหลายคนที่บอกว่าตนไม่ได้รับโอกาส หรือโอกาสมีไม่มากพอ

แต่ผมว่าที่จริงแล้ว ถ้าเราวิ่งหาโอกาส คนตาบอดเราก็มีโอกาสนะ

ในปัจจุบัน คนไทยยังขาดความรู้พื้นฐานที่เกี่ยวกับคนตาบอดอยู่มาก คนบางกลุ่มยังคิดอยู่เลยว่า คนตาบอดจะทำอะไรได้ แม้แต่อาบน้ำกินข้าวยังต้องมีคนช่วย เชื่อหรือเปล่าว่าความคิดแบบนี้ยังหลงเหลือในสังคม แถมเยอะด้วย

คนไทยราวเจ็ดสิบล้านคน จะพอเข้าใจคนตาบอดอยู่บ้างราวๆ 25% และยอมรับในความสามารถของคนตาบอดจริงๆ คงประมาณ 10% ได้มั้ง

อาจจะฟังดูน้อย แต่มันก็ใกล้เคียงกับความเป็นจริงที่สุด ดูขนาดการศึกษาซึ่งเป็นปัจจัยหลักของประเทศ คนไทยยังได้รับโอกาสไม่ครบเลย นับประสาอะไรกับเรื่องคนพิการ ซึ่งไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับชีวิตของคนอื่นโดยตรงเช่นนี้

ต้องแยกให้ออกนะว่า "คนช่วยเหลือ" กับ "คนเข้าใจและยอมรับ" มันคนละอย่างกัน

เรามันเป็นคนกลุ่มน้อย จะรอให้คนกลุ่มใหญ่มาทำความเข้าใจในตัวเรามันยากนะ เพราะแบบนั้นเราถึงต้องทำการพรีเซ้นต์ตัวเอง เราต้องบอกคนอื่นว่าเราทำอะไรได้บ้าง และทำอะไรไม่ได้บ้าง

จะรอนิ่งๆ ให้คนอื่น (คนปกติ) มาทำความเข้าใจตัวเองงั้นเหรอ ฝันไปเถอะ มีเฉพาะคนที่อยู่ใกล้ตัวเราเท่านั้นแหละที่จะทำแบบนั้น เช่นกลุ่มเพื่อน ญาติพี่น้อง แต่ว่าก็ว่าเถอะ กลุ่มที่ว่ามาก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะยอมทำความเข้าใจในตัวเรานะ อันนี้ก็ต้องแล้วแต่คนอีก

ก็เพราะแบบนี้แหละ เราถึงต้องบอกพวกเขา ว่าความสามารถของเรามีอะไรบ้าง เมื่อคนปกติรู้ เขาก็จะลองให้เราทำ ถ้าเราทำได้ เขาก็จะจ้างงานเรา หรือยอมให้เราทำงาน คิดง่ายๆ มันจะมีใครบ้าไปจ้างคนที่เราไม่รู้แม้แต่ความสามารถของคนคนนั้นว่าทำอะไรได้บ้าง (นอกจากกฎหมายบังคับ)

นอกจากร้องเพลง นวด ขายหวย คนตาบอดเรายังทำอะไรได้อีกเยอะ เปิดร้านซ่อมคอมยังไหว แต่แปลกแฮะ ผมไม่เห็นใครทำ แต่อาจมีก็ได้ แต่ผมไม่รู้จัก ทำงานเป็นโปรแกรมเมอร์ในบริษัทก็มีนะได้ยินข่าว

คนตาบอดหลายคนมีชีวิตแตกต่างออกไปและได้รับการยอมรับจากสังคมทั่วไป ถามว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้น? ก็เพราะว่าเขารู้จักพรีเซ้นต์ความสามารถตัวเองไง พรีเซ้นต์ในที่นี้ คือพรีเซ้นต์ให้คนปกติเห็นนะ ไม่ใช่ในสังคมตาบอด ต่อให้เราเก่งในสังคมตาบอด แต่ถ้าคนปกติไม่รู้ก็จบ

ถ้าอยากได้งานแบบคนทั่วไป อยากได้รับการยอมรับ เราจะต้องก้าวออกมายืนในสังคมคนปกติ เพราะคนส่วนใหญ่บนโลกเขาอยู่ฝั่งนี้กัน ถามว่าแล้วสังคมคนตาบอดไม่ดีเหรอ ทำไมต้องเดินออกมา ผมขอตอบว่าดี

แต่ในแง่ของการทำงาน มันก็ต้องมีบ้างที่ต้องออกมาไง ส่วนสังคมตาบอด เราก็เอาไว้พบปะพูดคุยในระหว่างกัน เกื้อหนุนกัน

พร่ามมาซะนาน เรามาว่ากันเรื่องพรีเซ้นต์ความสามารถให้คนทั่วไปได้รับรู้กันดีกว่า

ทุกวันนี้ข้อมูลเป็นเรื่องสำคัญ โดยเฉพาะข้อมูลทางอินเทอร์เน็ต เพราะอยากรู้อะไร "ถามอากู๋ได้" เมื่อเรารู้แบบนั้น เราก็ยัดข้อมูลของเราลงไปสิ

เช่น ตาบอดเล่นคอมยังไง ใช้คอมไปทางไหนได้บ้าง เขียนโปรแกรมหรือทำเว็บได้หรือเปล่า ทำได้มากน้อยแค่ไหน จุดอ่อนจุดแข็งคืออะไร เขียนบทความไปเลย เขียนดีมีคนเข้ามาอ่านมากๆ เผลอๆ มีบริษัทเกี่ยวกับด้านไอทีหลงเข้ามาอ่าน อาจจะได้งานแบบไม่รู้ตัวก็ได้ใครจะรู้

หรือใครที่เขียนเก่งๆ สำนวนดีๆ ก็เขียนบทความ ทำบล็อก เขียนนิยายไปเลย ถ้าเกิดงานพวกนี้ดันไปกระแทกตาใครสักคน อะไรก็เกิดขึ้นได้

อย่างพี่ชลณภัทร (เจ้าของนิยายเรื่องบัลลังก์นาคินทร์ หวานใจของยัยกำมะลอ และอื่นๆฯ) ก็ได้ตีพิมพ์นิยายเป็นรูปเล่มมาแล้ว

อีกคน ก็คุณพลอย สโรชา กิตติสิริพันธุ์ (เจ้าของหนังสือเรื่อง จนกว่าเด็กปิดตาจะโต)

นี่แค่เพียงส่วนหนึ่ง เพราะยังมีคนอื่นๆ ในสายอาชีพอื่นๆ ที่ผมยังไม่รู้จักอีก

ผมเชื่อว่าที่พวกเขาก้าวมาได้ขนาดนี้ เพราะพวกเขาไม่ได้หยุดอยู่แค่ในสังคมคนตาบอดแน่ๆ ละ ทว่าแต่ละคนจะต้องมีช่องทางสื่อสารไปถึงคนปกติแน่นอน เช่นการเขียนบล็อก (blogger) เด็กดี youtube และอื่นๆฯ

แต่สำหรับผม แนะนำให้พรีเซ้นต์ความสามารถตัวเองผ่านการเขียนดีกว่า ถามว่าทำไมต้องเป็นการเขียน? เป็นพวกการพูดแล้วนำไปลง youtube ไม่ได้หรือ? คำตอบคือได้ครับ แต่จะได้รับความสนใจน้อย ถามว่าทำไม?

ก็เพราะธรรมชาติของคนเรามันต่างกันยังไงละครับ คนตาบอดชอบฟัง ไม่ได้หมายความว่าคนตาดีทุกคนจะต้องชอบฟังไปด้วย

ธรรมชาติของคนตาดีคือชอบดู / ฟัง แต่ถ้ามีให้เลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง คนตาดีจะเลือกการดู ส่วนการฟังเอาไว้ทีหลัง เพราะการใช้ชีวิตของคนปกติ การดู ถือเป็นปัจจัยหลักในการดำเนินชีวิตครับ

ถ้าฟังเพลง อันนั้นไม่มีปัญหา เพราะถือว่าฟังเพื่อความผ่อนคลาย แต่ถ้าจะให้มานั่งฟังคนพูดโดยที่ไม่มีภาพให้ดู ยิ่งเรื่องนั้นไม่ใช่เรื่องที่อยู่ในความสนใจหลักด้วยแล้ว คนฟังก็ยิ่งจะเบื่อง่ายครับ (แต่ถ้ามีคนช่วยทำภาพ ก็แนะนำ Youtube ครับ)

ผมจะสมมุติเกี่ยวกับการตั้งค่าการใช้งานเฟซบุ๊กก็แล้วกัน

สมมุติว่ามีคนสองคนทำเรื่องเกี่ยวกับการตั้งค่าเฟซบุ๊กเหมือนกัน คนหนึ่งใช้การพูด อาจจะเป็นการถ่ายทอดเสียงผ่าน youtube

ส่วนอีกคนใช้การเขียนเป็นบทความผ่านเว็บบล็อก

คำถามคือ คนตาดีจะเลือกทำตามใคร หรือฟัง / ดูใคร

ผมตอบให้เลยว่าดูคนที่เขียนเป็นบทความ เพราะอะไร? ก็เพราะว่ามันทำตามได้ง่ายกว่า อย่างขั้นตอนไหนไม่เข้าใจเราก็อ่านทวนเฉพาะตรงนั้นๆได้เลย แต่ถ้าเป็นคลิปเสียง เราจะต้องเสียเวลามาลีฟังใหม่อีกรอบ ยุ่งยากไปอีก

แต่สิ่งที่การทำคลิปเสียงได้เปรียบก็มีนะ เช่นการทำเรื่องผี แต่ขอบอกว่าต้องมีซาวด์ประกอบด้วย ไม่งั้นคนก็อาจจะหนีไปอ่านตามเดิม

แต่ก็อย่างว่า ตอนนี้ผมเน้นการพรีเซ้นต์ความรู้ตัวเอง เพื่อนำไปสู่การจ้างงานในอนาคตไง คลิปเสียงมันเลยไม่เหมาะ

ถามว่าการเขียนในสิ่งที่ตัวเองมีความรู้มันสำคัญมากไหม? ผมว่ามันสำคัญมาก เพราะคนที่เขาจะเข้าใจเรา เขาก็ต้องรู้ก่อนว่าเราทำอะไรได้ เรามีความรู้ในสิ่งที่จะทำมากหรือน้อยยังไง

พอรู้ในระดับหนึ่งแล้ว การติดต่อเพื่อร่วมงานก็จะเกิดขึ้น

ผมว่าในปัจจุบัน ถ้าเรามีความสามารถจริง สร้างประโยชน์ให้กับบริษัทนั้นๆ ได้จริง ถึงจะเป็นตาบอดเขาก็รับ

ลองแต่งเพลงดีๆ แล้วนำไปเสนอนักร้องหรือค่ายเพลงดูสิ ถ้ามันดีจริง ยังไงเขาก็ซื้อ แต่ถ้าถามว่าแล้วไปร้องเองได้ไหม อันนี้ยาก

แล้วทำไมถึงยาก? ก็เพราะว่าตาบอดเราไม่เหมาะกับการแสดงด้านหน้าเวธีไง เต้นไม่ได้ เล่นกับคนดูไม่ได้ เล่นกับกล้องไม่ได้ แถมถ้าหากเป็นตาบอดผู้หญิง ไปใส่ชุดวับๆ แวมๆ บนเวธี จะถูกบรรดา "คนไทยโลกสวย" ว่าค่ายเพลงเข้าให้อีกว่าเอาคนตาบอดมาหากิน บาป!

แต่ถ้าเล่นดนตรีเก่งๆ อืม...อันนี้มีหวัง เช่นร่วมวงกับคนตาดี ให้คนตาดีรับบทเด่นๆ ไป ส่วนตาบอดเล่นดนตรีไป แต่ไม่ควรมีตาบอดเกินหนึ่งคนต่อวงนะ เพราะถ้ามีเยอะ อาจจะมีปัญหาเรื่องการแสดง (อีกละ)

จริงๆ คนตาบอดเรามีความสามารถ ถ้ารู้จักพรีเซ้นต์ตัวเอง แล้วรู้ว่าเราควรยืนอยู่จุดไหน ทำอะไรได้บ้างไม่ได้บ้าง รู้จักเดินหน้ารู้จักถอย เราก็จะมีงานทำเพิ่มขึ้น (คิดว่านะ)

เช่น ต่อให้เราร้องเพลงดี แต่ในเมื่อการร้องเพลงมันมาพร้อมกับการแสดงซึ่งเราไม่ไหว เราก็เปลี่ยนตัวเองมาเล่นดนตรี แต่งเพลง หรือเป็นเสียงประสานเบื้องหลังก็ได้

รู้จักเดินหน้า เพื่อสร้าง "โอกาสให้ตัวเอง" และรู้จักถอยหลัง เพื่อ "ปรับเปรียนตัวเองให้อยู่ในที่ที่เหมาะกับเรา" ถึงแม้จะไม่ได้ทำในสิ่งที่ชอบตรงๆ แต่ถ้าได้ทำอะไรใกล้เคียงกันก็น่าจะเป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับคนตาบอดเช่นกัน

พรีเซ้นต์ตัวเองเข้าไว้ เดี๋ยวดีเอง

เขียนอะไรก็ไม่รู้โคตยาว

แค่อยากระบาย อยากเห็นคนตาบอดช่วยเหลือตัวเองให้มากกว่านี้

อย่าไปหวังให้คนอื่นเข้าใจเรา แต่เราต้องทำให้เขาเข้าใจเรา

พึ่งพาตัวเองให้มากๆ

เราจะต้องรู้จักให้มากกว่ารู้จักรับ

อยากได้รับการยอมรับจากสังคมต้องทำเอง


ผู้อ่านสามารถสนับสนุนเว็บไซต์ โดยการอุดหนุนนิยายบนเว็บไซต์ เขียนกันดอทคอม เว็บไซต์อ่านนิยายที่คนตาบอดเป็นเจ้าของ และอยากให้สังคมการอ่านเป็นของคนทุกกลุ่ม ไม่ว่าตาดีหรือตาบอด

ให้ดาวบทความนี้: 
No votes yet

แสดงความคิดเห็น