เมื่อเราพูดถึงคนตาบอด ใครหลายคนคงจะนึกถึงภาพคนตาบอดร้องเพลงตามตลาด ข้างถนน หรือตามสถานที่ต่างๆ ซึ่งในเรื่องนี้ แต่ละคนก็มีมุมมอง มีเหตุผลที่แตกต่างกันไป บางคนอาจบอกว่าการร้องเพลงของคนตาบอดก็ถือว่าเป็นอีกอาชีพหนึ่ง เพราะคนตาบอดไม่ได้ไปขอใคร เพราะใช้เสียงเพลงแลกมา หากบางคนก็มองว่า นี่คือการขอ เพราะถึงแม้จะร้องเพลง แต่จะมีสักกี่คนที่ให้เงินคนตาบอดเพราะเสียงเพลงจริงๆ ที่ให้เพราะความสงสานเป็นหลักเสียมากกว่า
ไม่ว่าจะเป็นมุมมองไหน หรือเหตุผลอะไรก็ตาม แต่ก็อยากจะให้คนในสังคมได้ทราบว่า นอกจากการร้องเพลงแล้ว คนตาบอดยังสามารถทำอาชีพทั่วไปเช่นเดียวกันกับคนตาปกติได้ไม่ต่างกัน ซึ่งอาชีพที่เห็นทำกันมากก็มีตั้งแต่เป็นนักดนตรี / นักร้อง (ตามร้านอาหาร หรือเปิดวงดนตรี), เป็นหมอนวด, ครูอาจารย์, คอลล์เซ็นเตอร์, ช่างทำเฟอร์นิเจอร์, บาริสต้า (เช่น Dots Coffee), นักเขียน, และอื่นๆฯ
อย่างบางคนที่มีทักษะทางด้านคอมพิวเตอร์สูงๆ ยังได้เข้าไปทำงานตามบริษัทที่เกี่ยวกับการออกแบบเว็บไซต์หรือโปรแกรม เช่นพวกการเขียนโค้ดภาษาคอมชนิดต่างๆ หรือถ้าบางคนมีทักษะคอมพิวเตอร์ที่เกี่ยวกับการทำเพลง ก็จะไปทำงานอยู่กับพวกค่ายเพลงต่างๆ ก็มีเช่นกัน
นอกจากอาชีพอิสระหรือพนักงานออฟฟิศ ยังมีคนตาบอดไม่น้อยที่มีกิจการส่วนตัวเป็นของตัวเอง เช่นร้านนวด ห้องบันทึกเสียง หรือแม้กระทั่งร้านอาหาร (ถ้าไม่เชื่อว่าคนตาบอดเป็นเจ้าของร้านอาหารได้ ให้พิมพ์หาใน Google ได้เลย ว่าร้านก๋วยเตี๋ยวป้าสมนึก รับรองเจอแน่นอน)
เชื่อเลยว่าเท่าที่ผมพิมพ์ให้อ่าน บางคนยังแทบไม่เคยรู้ ว่าคนตาบอดจะสามารถทำอาชีพเหล่านี้ได้ด้วยตัวเอง อย่างหลายคนยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคนตาบอดเองก็สามารถใช้โทรศัพท์หรือคอมพิวเตอร์ได้ ซึ่งสำหรับคนตาบอดแล้ว เรื่องเหล่านี้ถือเป็นเรื่องปกติที่รับรู้จนเคยชิน เพราะเราเองรู้ว่าคนตาบอดเองก็ทำได้
ส่วนตัวมองว่า “สงสานนิยม” ไม่ได้เป็นข้อเสียของคนไทย กลับกันมันเป็นข้อดีด้วยซ้ำ แต่หากความสงสานมันอยู่บนความเข้าใจ หรืออยู่ภายใต้การยอมรับในศักยภาพของคนตาบอด ไม่ได้ยืนอยู่บน “ความเชื่อผิดๆ หรือความเข้าใจผิดๆ” คนตาบอดไทยจะมีที่ยืนในสังคมมากกว่านี้
ถึงในปัจจุบันคนตาบอดจะทำอาชีพอะไรได้มากมาย แต่หากคนในสังคมยังมองว่า “ตาบอดทำไม่ได้” มันก็เท่านั้น เพราะตราบใดที่สังคมส่วนใหญ่ยังตัดสินคนตาบอดด้วยวลีนี้อยู่ โอกาสการจ้างงานคนตาบอดจะมาจากไหนจริงหรือไม่? ยังดีที่ทางรัฐบาลมีนโยบายออกมาช่วยเหลือ เลยทำให้คนตาบอดได้โอกาส “พิสูจน์ตัวเอง” ว่าถึงจะมองไม่เห็น แต่ก็ทำได้
ณ ในตอนนี้บางทีสิ่งที่คนพิการ ซึ่งไม่ใช่แค่คนตาบอดต้องการที่สุด คงไม่ใช่แค่ความสงสาน แต่มันคือ “โอกาสและการยอมรับ” เสียมากกว่า
จะไม่ดีกว่าหรือ หากเรายกระดับจาก “ความสงสานและเห็นใจ” กลายมาเป็น “ความเข้าใจและการยอมรับ” ไม่แบ่งเขาแบ่งเรา ไม่มองว่าคนพิการทำอะไรไม่ได้ แต่อยากจะให้สังคมมองว่า ความพิการมันก็แค่ร่างกายผิดปกติ ไม่ได้มีปัญหาในการใช้ชีวิตหรือทำงานแต่อย่างใดเลย
ผู้อ่านสามารถสนับสนุนเว็บไซต์ โดยการอุดหนุนนิยายบนเว็บไซต์ เขียนกันดอทคอม เว็บไซต์อ่านนิยายที่คนตาบอดเป็นเจ้าของ และอยากให้สังคมการอ่านเป็นของคนทุกกลุ่ม ไม่ว่าตาดีหรือตาบอด
แสดงความคิดเห็น